การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานเป็นวิธีการสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น ในการเขียนรายงาน นักเรียนควรใช้ภาษาที่อ่านง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมา ให้ครอบคลุมหัวข้อต่างๆเหล่านี้ การเขียนรายงานโครงงาน แบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ดังนี้
1. ส่วนนำ
ประกอบด้วย
1.1
ปกนอก
ปกนอกเป็นส่วนที่ควรเน้นความเรียบร้อยสวยงามเป็นพิเศษ
โดยทั่วไปนิยมใช้กระดาษขนาด 120 แกรม พิมพ์ตัวอักษรด้วยสีสุภาพ
หรือใช้กระดาษสี ข้อความบนปกนอกประกอบด้วยข้อความเรียงตามลำดับ ดังนี้
1. ตราโรงเรียน
1. ตราโรงเรียน
2. ชื่อเรื่องโครงงานคอมพิวเตอร์
3. ชื่อนักเรียนผู้จัดทำโครงงานทุกคน โดยระบุคำนำหน้าชื่อ ชื่อตัวและชื่อสกุล
และใส่คำว่า โดย” ก่อนพิมพ์ชื่อผู้ทำโครงงาน
4.ข้อความที่บอกให้ทราบถึงโอกาสในการทำโครงงาน คือ
“รายงานนี้
เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา....................................................................
ตามหลักสูตร.....................................................................โรงเรียน..............................................ภาคเรียนที่............ชั้นมัธยมศึกษาปีที่....................ปีการศึกษา..................”
ข้อความทั้งหมดบนปกนอกควรจัดเรียงให้กระจายอยู่บนปก ได้ระยะที่สวยงาม
ใช้ขนาดตัวอักษรที่พอเหมาะ ดึงดูดความสนใจ และเว้นระยะห่างให้สมดุล


1.2 ใบรองปก
เป็นกระดาษ A4 สีขาว ขนาด 80 แกรม ไม่พิมพ์ข้อความใดๆ จำนวน 1 แผ่น
ใส่ไว้ถัดจากปกนอก ถ้าเป็นปกอ่อนและรายงานมีความหนาสันปกไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร อาจไม่ต้องใส่ใบรองปก
1.3 ปกใน
ข้อความทั้งหมดบนปกในควรจัดเรียงให้กระจายอยู่บนปก ได้ระยะที่สวยงาม ใช้ขนาดตัวอักษร
ที่พอเหมาะ ดึงดูดความสนใจ และเว้นระยะห่างให้สมดุล ข้อความที่เพิ่มเติมจากปกนอก
คือ ครูที่ปรึกษา ในกรณีที่มีที่ปรึกษาจากหน่วยงานนอกโรงเรียน หรือที่ปรึกษาพิเศษ
ซึ่งอาจมาจากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงาน หรือเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ
หรือนักวิชาการอิสระอื่นๆ ก็อาจเขียนหัวข้อที่ปรึกษาพิเศษ
หรือเขียนให้สอดคล้องกับสถานะของที่ปรึกษานั้นๆ
อย่างไรก็ดีนักเรียนควรมีครูที่ปรึกษาจากโรงเรียนของนักเรียนอยู่ด้วย
1.4 บทคัดย่อ
บทคัดย่อ เป็นข้อความโดยสรุปของรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ที่สั้นได้ใจความชัดเจน
อธิบายถึงที่มาและความสำคัญของโครงงาน วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ และผลที่ได้
ตลอดจนข้อสรุปต่างๆ อย่างย่อ (ประมาณ 250-400 คำ)
1.5 กิตติกรรมประกาศ
กิตติกรรมประกาศเป็นส่วนที่ผู้ทำโครงงานเขียนแสดงความขอบคุณบุคคล สถาบัน
หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือทั้งในการค้นคว้าความรู้ การดำเนินงาน
ให้ข้อคิดเห็นและให้ข้อมูล
การเขียนกิตติกรรมประกาศเป็นการแสดงถึงจรรยาบรรณทางวิชาการที่ผู้ทำโครงงานควรถือปฏิบัติ
ข้อความที่เขียนควรเป็นภาษาทางวิชาการ ไม่ใช้ภาษาพูดและคำสแลง การระบุชื่อบุคคลให้ระบุทั้งชื่อ นามสกุล และคำนำหน้า
ถ้าเป็นบุคคลที่มียศ/ ตำแหน่งหน้าที่การงานให้ระบุไว้ด้วย
หากต้องการแสดงความขอบคุณบุคคลในครอบครัวให้จัดไว้ในลำดับสุดท้าย
1.6 สารบัญ
สารบัญเป็นส่วนที่แสดงลำดับหน้าของรายงานทั้งฉบับ ซึ่งประกอบด้วยส่วนนำ
ส่วนเนื้อเรื่อง และ ส่วนอ้างอิง ในส่วนนำให้ใช้เป็นตัวอักษร
โดยเริ่มบทคัดย่อเป็นหน้า ก ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนอ้างอิงให้ใช้เป็นตัวเลข
ในส่วนของรายงานโครงงานที่มีการแสดงผลเป็นตารางและภาพ (รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ กราฟ
ฯลฯ) ในหัวข้อสารบัญต้องมีหัวข้อสารบัญตาราง และสารบัญภาพเป็นหัวข้อย่อย
แม้จะมี จำนวนเพียง 1 ตาราง / ภาพ ก็ตาม)
สารบัญมีทั้งหมด 3 แบบ
- สารบัญเนื้อหา
- สารบัญเนื้อหา
- สารบัญตาราง (ถ้ามี)
- สารบัญรูปภาพ (ถ้ามี)

สัญลักษณ์ คำอธิบาย

1.7 คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ
เป็นส่วนที่อธิบายถึงสัญลักษณ์และคำย่อต่างๆ
ที่ใช้ในการทำโครงงาน เพื่อชี้แจงให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจที่ตรงกัน เช่น
สัญลักษณ์ คำอธิบาย
BK กรุงเทพมหานคร
CO แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์
+
พบแบคทีเรียจำนวน 1-5 โคโลนี
++
พบแบคทีเรียจำนวน 6-10 โคโลนี
2. ส่วนเนื้อเรื่อง
2.1 บทที่ 1 บทนำ
2.1.1 ที่มา และความสำคัญของโครงงาน
2.1.1 ที่มา และความสำคัญของโครงงาน
กล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาหรือสิ่งที่สนใจศึกษา
หรือสิ่งที่ต้องการ ปรับปรุง
โดยอธิบายในภาพกว้างก่อนจากนั้นจึงเชื่อมโยงเข้าสู่หัวข้อโครงงาน
ธิบายถึงความเป็นมาเกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่สนใจจะศึกษาว่ามีความเป็นมาอย่างไร
มีอะไรเป็นเหตุจูงใจที่ทำให้ผู้เรียนสนใจเป็นพิเศษ
และเหตุใดจึงได้เลือกทำโครงงานนี้ โครงงานนี้มีความสำคัญอย่างไร มีหลักการ หรือทฤษฏีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องที่คิดขึ้นใหม่
หรือเป็นที่ศึกษาต่อยอดจากโครงงานเดิมที่เคยทำมาแล้ว หรืออาจเป็นการทำซ้ำเพื่อตรวจสอบผลอีกครั้งก็ได
2.1.2 วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์
เป็นการระบุถึงสิ่งที่ต้องการพัฒนาขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงงาน
ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
แต่ไม่ใช่นำเอาประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำโครงงานมาเขียนเป็นวัตถุประสงค์
การเขียนวัตถุประสงค์อาจเขียนเป็นข้อๆ ได้
โดยต้องสอดคล้องกับสิ่งที่จะศึกษาหรือทดลองมีการเขียนที่ชัดเจน และกระชับ เช่น
เพื่อศึกษา...............เพื่อพัฒนา...............เพื่ออออกแบบ................เพื่อสร้าง..................
2.1.3 สมมติฐาน (ถ้ามี)
สมมติฐานคือการคาดคะเนคำตอบของปัญหาหรือสิ่งที่เราสนใจศึกษาอย่างมีเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี
รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำมาแล้ว การเขียนสมมติฐานควรชี้แนะ
การออกแบบการทดลอง การสำรวจไว้ด้วย และการทดสอบประสิทธิภาพของสิ่งประดิษฐ์
2.1.4 ตัวแปร (ถ้ามี)
2.1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ (ถ้ามี)
เป็นการให้ความหมาย
หรือคำจำกัดความของคำศัพท์ที่ผู้ทำโครงงานใช้ในการทำโครงงาน
ซึ่งเป็นความหมายเฉพาะงานที่ทำ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้งผู้ทำโครงงานและผู้อ่าน เช่น การเจริญเติบโตของต้นคะน้า หมายถึง ต้นคะน้ามีความสูง ความยาวรอบลำต้น
และมีจำนวนใบเพิ่มขึ้น
2.1.6 นิยามเชิงปฏิบัติการ (ถ้ามี)
เป็นการกำหนดความหมายและขอบเขตของตัวแปรที่อยู่ในสมมติฐานที่ต้องการทดสอบให้
เข้าใจตรงกัน และสามารถสังเกตหรือวัดได้ โดยใช้หน่วยที่เชื่อถือได้เป็นระบบสากล
ตัวอย่าง
สมมติฐาน การใส่มูลไก่ในปริมาณที่แตกต่างกัน ทำให้ผักคะน้าเจริญเติบโตแตกต่างกัน
ตัวแปรต้น
มูลไก่ที่ใส่ให้ต้นคะน้า
ตัวแปรตาม
การเจริญเติบโตของต้นคะน้า
นิยามเชิงปฏิบัติการ
มูลไก่ หมายถึง
มูลแห้งของไก่เนื้อ พันธุ์โร๊ดไอแลนด์ อายุ 3-6 สัปดาห์
ที่เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จจาก CP การเจริญเติบโตของต้นคะน้า หมายถึง
การวัดความสูง ความยาวรอบลำต้น และนับจำนวน ใบของต้นคะน้าแต่ละต้นทุกๆ3วันเป็นเวลา 25 วัน แล้วหาค่าเฉลี่ย
ต้นคะน้า หมายถึง
ต้นคะน้าที่มีอายุตั้งแต่งอกจากเมล็ดและปลูกมาเป็นเวลา 20 วัน
2.1.7 ขอบเขตของการดำเนินงาน
เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ
นักเรียนต้องกำหนดขอบเขตการทำโครงงานซึ่งได้แก่การกำหนดประชากรว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
หรือสิ่งไม่มีชีวิต ระบุชื่อ กลุ่ม ประเภท แหล่งที่อยู่/ผลิต
และช่วงเวลาที่ทำการทดลอง เช่น เดือน ปี รวมทั้งกำหนดกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสมเป็นตัวแทนของประชากรที่สนใจ
ศึกษา และกำหนดตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรต้น
ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรตาม และ
ตัวแปรใดบ้างเป็นตัวแปรควบคุมเพื่อเป็นแนวทางการออกแบบการทดลอง
ตลอดจนมีผลต่อการเขียนรายงาน การทำโครงงานฯ ที่ถูกต้อง สื่อความหมายให้ผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจตรงกัน
2.2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ประกอบด้วยเนื้อหา หรือทฤษฎี
จากเอกสารงานวิจัย โครงงานคอมพิวเตอร์
ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงงานของนักเรียนซึ่งมีผู้ศึกษาทดลองมาก่อน
และอ้างอิงแหล่งที่มา
นักเรียนควรค้นคว้ารวบรวมผลงานจากงานวิจัย
หนังสืออ้างอิง รวมทั้งโครงงานย้อนหลังให้ได้มาก ที่สุด
และควรเป็นข้อมูลที่ทันสมัย สำหรับโครงงานในระดับมัธยมศึกษานั้นไม่จำเป็น
ต้องสืบค้นงานวิจัย และ เอกสารอ้างอิงจนครบถ้วน แต่ให้พยายามค้นหาเท่าที่จะทำได้
โครงงานบางเรื่องอาจไม่สามารถค้นหา เอกสาร และรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องได้
นักเรียนอาจกล่าวอ้างถึงผู้รู้
ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นบุคคล หรือหน่วยงาน
อ้างอิงแหล่งที่มา และเพื่อความสะดวกในการเขียนรายงาน
เมื่อสำรวจค้นคว้ารวบรวมผลงาน จากหนังสือ ตำรา วารสาร หนังสือพิมพ์ เอกสารเผยแพร่
หรือเว็บไซต์แล้วนักเรียนควรรวบรวมรายชื่อเอกสารเหล่านั้นในรูปแบบที่จะนำไปเขียนในหัวข้อเอกสารอ้างอิง
2.3
บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีดำเนินการ
การเขียนวิธีการดำเนินงาน
จำเป็นต้องเขียนเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการศึกษาค้นคว้า รูปแบบการ วิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล
การประมวลผล และ การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ยืนยันผลการศึกษา การวิเคราะห์
และการอภิปรายผล และมีรายละเอียดเพียงพอ ที่ผู้สนใจสามารถทำซ้ำได้
โดยมีหัวข้อย่อยดังนี้
2.3.1 วัสดุ /อุปกรณ์
และเครื่องมือพิเศษ (ถ้ามี)
วัสดุ คือ
สิ่งของที่มีสภาพการใช้สิ้นเปลืองหรือเสื่อมสภาพลงเพราะการใช้งานโดยมีอายุการใช้งานน้อยกว่า 1 ปี อุปกรณ์ คือ สิ่งของที่มีอายุการใช้งานนาน
คงทน โดยอาจรวมเครื่องมือพิเศษ ที่หาไม่ได้ทั่วไปในโรงเรียน
และหากเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่รู้จักแพร่หลายควรระบุชื่อบริษัทที่ผลิต รุ่น (model) ถ้าเป็นเครื่องมือที่ประดิษฐ์ขึ้นเองต้องอธิบายหลักการ แบบ และการทำงาน
2.3.2 ขั้นตอนการดำเนินงาน
ในส่วนของขั้นตอนการดำเนินงานนักเรียนต้องเขียนรายงานเรียงลำดับตามวัตถุประสงค์และสมมติฐานให้สอดคล้องและครบถ้วนในการกล่าวถึงสิ่งเดียวกันต้องใช้คำหรือข้อความเดียวกันเสมอ นอกจากนี้
ควรกล่าวถึงการออกแบบการสำรวจ ประดิษฐ์
ทดลองที่มีการควบคุมตัวแปรอย่างถูกต้องเหมาะสม
อธิบายวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจ ประดิษฐ์ ทดลอง และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลไว้อย่างชัดเจน
2.4 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน
เป็นการรายงานผลการศึกษา
การสำรวจ ประดิษฐ์ ทดลอง ที่นักเรียนได้ค้นพบด้วยตนเอง รวมทั้ง
รายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ในการรายงานผลการดำเนินงานนี้ต้องเขียนรายงานตามลำดับหัวข้อให้
สอดคล้องกับจุดประสงค์และวิธีการดำเนินงาน
ควรใช้ข้อความที่กะทัดรัดใช้คำที่ตรงกับความต้องการที่จะสื่อ ให้ผู้อ่านเข้าใจ
อาจมีการจัดกระทำข้อมูลและนำเสนอในรูปของตาราง กราฟ ภาพประกอบให้เหมาะสมกับ
ธรรมชาติของข้อมูลและความนิยมของแต่ละสาขาวิชาโดยก่อนจะนำเสนอด้วยตาราง ภาพ
นักเรียนต้อง อธิบายผลการดำเนินงานที่ได้ให้ครบถ้วน แล้วอ้างถึงตาราง หรือภาพ
โดยเขียนเป็น “ดังตารางที่...” หรือ “ภาพที่...” อาจเรียงลำดับเป็นรายบท
หรือเรียงลำดับให้ต่อเนื่องตลอดทั้งส่วนเนื้อเรื่อง
2.5
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล
และข้อเสนอแนะ
ในบทนี้ ต้องเขียนหัวข้อเรียงลำดับ ดังนี้
2.5.1 สรุปผล
ในบทนี้ ต้องเขียนหัวข้อเรียงลำดับ ดังนี้
2.5.1 สรุปผล
การเขียนสรุปผลที่ได้จากการทำโครงงาน
ถ้ามีการตั้งสมมติฐานควรระบุว่าผลที่ได้สนับสนุน หรือคัดค้านกับสมมติฐาน แล้วสรุปผล เรียงลำดับตามจุดประสงค์และผลการดำเนินงานที่ได้
2.5.2 การอภิปรายผล
2.5.2 การอภิปรายผล
การอภิปรายผลการดำเนินงาน
เป็นการอธิบายเหตุผลที่ทำให้ได้ผลการพิสูจน์ สำรวจ ประดิษฐ์ ทดลอง
อาจค้นพบองค์ความรู้ใหม่ การอภิปรายผลการดำเนินงานจัดเป็นส่วนที่แสดงถึงความรู้และความเอาใจใส่ในเรื่องที่ศึกษาค้นคว้า นักเรียนควรสืบค้นความรู้ต่างๆ มาอ้างอิง
เพื่อสนับสนุนผลการดำเนินงานว่ามีคุณค่า และเชื่อถือได้
ควรอภิปรายผลการดำเนินงานเรียงลำดับตามประเด็นที่รายงานผลการดำเนินงานไปแล้วในบทที่ 4
2.5.3 ข้อเสนอแนะ
2.5.3 ข้อเสนอแนะ
ในส่วนของข้อเสนอแนะนั้น
ให้เสนอข้อควรปรับปรุงแก้ไข ปัญหา และอุปสรรค เพื่อพัฒนา ต่อยอดองค์ความรู้ได้
หากมีผู้ต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต
และเนื้อหาทั้งหมดนี้จะต้อง เป็นเนื้อหาสาระที่ได้จากการทำโครงงาน รวมถึงประโยชน์ที่ได้จากการทำโครงงาน
การเขียนอ้างอิงในส่วนเนื้อเรื่อง
ในบทที่ 1 บทที่ 2 หรือบทที่ 5 ที่กล่าวมาแล้วอาจมีการอ้างอิงข้อมูลความรู้ จากเอกสาร หนังสือ ตำรา
งานวิจัย หรือแหล่งข้อมูลต่างๆ ซึ่งการอ้างอิงดังกล่าว เรียกว่า การอ้างอิงในส่วนเนื้อเรื่อง
ข้อมูลที่ควร อ้างอิง เช่น คำกล่าว ของบุคคลสำคัญ
ตัวเลขที่แสดงจำนวนประชากรที่กล่าวถึง สถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นปัญหา
ผลงานการค้นคว้าวิจัยของบุคคลหรือหน่วยงาน
โดยในการอ้างอิงนั้นให้นักเรียนเลือกใช้ระบบการอ้างอิงระบบใดระบบหนึ่งเพียงระบบเดียวตลอดการพิมพ์รายงานโครงงาน
ระบบการอ้างอิงในส่วนเนื้อหา
ที่พบบ่อย มี 3 ระบบ คือ
1. ระบบการอ้างอิงแบบนาม-ปี เป็นการอ้างถึงแหล่งที่มาของข้อมูลโดยการแทรกเนื้อหาของเอกสารไว้ในเนื้อหา และระบุชื่อผู้เขียนกับปีที่พิมพ์ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นตอนต้นหรือตอนท้ายของเนื้อหา
2. ระบบการอ้างอิงแบบตัวเลข เป็นการระบุหมายเลขเอกสารหรือแหล่งที่มาของข้อมูลตามลำดับที่อ้างอิง
3. ระบบการอ้างอิงแบบเชิงอรรถ เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลโดยเขียนไว้ที่ส่วนล่างของหน้ารายงานเหมือนกับการทำรายการอ้างอิงไว้ท้ายเล่ม
หมายเหตุ
สำหรับนักเรียนให้เลือกใช้เพียง 2 ระบบ คือ แบบนามปี และแบบตัวเลข
1. ระบบการอ้างอิงแบบนาม-ปี เป็นการอ้างถึงแหล่งที่มาของข้อมูลโดยการแทรกเนื้อหาของเอกสารไว้ในเนื้อหา และระบุชื่อผู้เขียนกับปีที่พิมพ์ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นตอนต้นหรือตอนท้ายของเนื้อหา
2. ระบบการอ้างอิงแบบตัวเลข เป็นการระบุหมายเลขเอกสารหรือแหล่งที่มาของข้อมูลตามลำดับที่อ้างอิง
3. ระบบการอ้างอิงแบบเชิงอรรถ เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลโดยเขียนไว้ที่ส่วนล่างของหน้ารายงานเหมือนกับการทำรายการอ้างอิงไว้ท้ายเล่ม
หมายเหตุ
สำหรับนักเรียนให้เลือกใช้เพียง 2 ระบบ คือ แบบนามปี และแบบตัวเลข
3. ส่วนอ้างอิง
เป็นส่วนท้ายของรายงานโครงงาน ประกอบด้วย รายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
และภาคผนวก
รายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
รายการอ้างอิง
เป็นรายการแสดงรายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่นๆ โสตทัศนวัสดุ การสัมภาษณ์ ฯลฯ
ที่นำมาใช้ประกอบการทำโครงงาน การลงรายการอ้างอิง
ให้พิมพ์เฉพาะเอกสารทุกรายการที่มีการอ้างถึงใน เนื้อหาของโครงงานในบทที่ 1 บทนำ หรือบทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยเกี่ยวข้อง
หรือบทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ เท่านั้น
โดยให้ใช้คำว่า เอกสารอ้างอิง (references) ถ้ามีเอกสารอื่นหรือข้อมูล
อื่นที่เกี่ยวข้องแต่ไม่ได้นำมาใช้อ้างในการทำโครงงาน
แต่ประสงค์จะนำมารวบรวมไว้ด้วย ให้พิมพ์ต่อจาก รายการอ้างอิง โดยขึ้นหน้าใหม่และใช้คำว่า
บรรณานุกรม (bibliography) ทั้งนี้การเขียนรายการอ้างอิงมีหลายระบบ
นักเรียนสามารถเลือกใช้ระบบใดระบบหนึ่ง
แต่ต้องเป็นระบบเดียวกันตลอดการเขียนรายงานเล่มนั้นๆ
การพิมพ์รายการอ้างอิงในขั้นสุดท้าย ไม่ว่าจะใช้การอ้างอิงแบบนาม-ปี
หรือแบบตัวเลข ให้ใช้รูปแบบการพิมพ์รายการอ้างอิงเหมือนกัน
โดยเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่ง จาก 2 แบบ นี้
แบบที่ 1 ปีที่พิมพ์อยู่ท้ายรายการ
แบบที่ 2 ปีที่พิมพ์อยู่หลังชื่อผู้แต่ง
(ใส่วงเล็บหรือไม่ใส่ก็ได้)
ในที่นี้ได้ให้ตัวอย่างรูปแบบการพิมพ์รายการอ้างอิงและตัวอย่างการพิมพ์รายการอ้างอิงเฉพาะ
แบบที่ 1 ส่วนผู้ที่ประสงค์จะใช้ แบบที่ 2 ก็ให้ใช้แบบเดียวกัน เพียงแต่ย้ายปีที่พิมพ์ มาไว้หลังชื่อผู้แต่งเท่านั้น
โดยตัวอย่างรูปแบบและตัวอย่างการพิมพ์รายการอ้างอิงดังกล่าวได้คัดลอกมาจากคู่มือการพิมพ์วิทยานิพนธ์ 2548 ของบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายละเอียดดังตัวอย่างรูปแบบและตัวอย่างการพิมพ์ในส่วนที่2
ภาคผนวก
ภาคผนวกเป็นส่วนท้ายของรายงานเชิงวิชาการ
ไม่ใช่ส่วนที่เป็นเนื้อหาอย่างแท้จริง
เป็นเพียงส่วนประกอบที่จะสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยของผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ในกรณีของการเขียนรายงานโครงงานของนักเรียน
ข้อมูลส่วนที่นำมาลงไว้ในภาคผนวก เช่น
- ข้อมูลการสำรวจ ประดิษฐ์
ทดลองที่ยังไม่จัดกระทำ
- ตาราง รูปภาพ กราฟ
และแผนภาพที่ละเอียดมากๆ ซึ่งถ้าใส่ไว้ในส่วนเนื้อเรื่องจะทำให้เนื้อเรื่องยาวไม่กระชับ
- ข้อมูลของผลการทดลองเบื้องต้น
- ข้อความซึ่งเป็นรายละเอียดของเทคนิควิธีต่างๆ
ที่ต้องการให้ผู้สนใจได้ศึกษา
- ฯลฯ